วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาชญากรรม IT เรื่อง ภัยทางอินเตอร์เน็ต


อาชญากรรม IT เรื่อง ภัยทางอินเตอร์เน็ต PC5611



ประเภทภาพยนตร์

ภาพยนตร์ที่เราไปชมกันนั้นมีหลากหลายรส หลายแบบ บางคนชอบแบบชีวิต(ดราม่า) ชมภาพยนตร์ไปร้องไห้เช็ดน้ำตาไป บางคนชอบหนังการ์ตูนสดใสสีสันจัดจ้านดูคลายอารมณ์และมีความน่ารักๆ ปนอยู่ด้วย แนวของภาพยนตร์ก็เลยมีหลายรูปแบบ
ได้แก่
1. Action หมายถึง ภาพยนตร์แบบบู๊ แอ็กชั่น ยิง ต่อสู้ ระทึกใจ เหมาะสำหรับคนชอบความแข็งแรงและศิลปะการต่อสู้ ในภาพยนตร์แนวนี้จะมีฉากยิง ระเบิด เผาสิ่งต่างๆ ที่เราอาจจะหาดูได้ยาก ฉะนั้นคนที่ชอบหนังประเภทนี้ไม่ใช่เพราะชอบความรุนแรง แต่จะหมายถึงคนที่ชอบที่จะสัมผัสกับสิ่งที่หาดูไม่ได้ในชีวิตประจำวันและชอบ ความตื่นเต้นอยู่ด้วย ปัจจุบันภาพยนตร์ประเภทนี้ มีออกมาฉายกันมากไม่เคยขาดและได้รับการตอบกลับอย่างดี แต่ก็ต้องมีเนื้อหาสาระและมุมมองของการออกแบบฉากได้อย่างลงตัวและสมจริงด้วย อย่างองค์บากทั้งสองภาคก็ขายความแอ๊กชั่นเป็นจุดสำคัญ และอื่นๆ อีกมากมายครับ
2. Adventure หมายถึงภาพยนตร์ แนวผจญภัย เข้าป่าฝ่าดง เจอปัญหาอุปสรรคมากมาย และต้องมีการแก้ไข ปัญหาสถานการณ์ หนังแบบนี้ก็เหมาะสมหรับผู้ชมที่ชื่นชอบการผจญภัย เช่น เข้าไปในป่าที่ยังไม่รู้จักว่ามีอะไรบ้างที่รอการเข้าไปค้นหาจากเรา
3. Animation หมายถึงภาพยนตร์การ์ตูน ซึ่งปัจจุบันกำลังมาแรง เช่น finding nemo เป็นต้น ปัจจุบันมีการผลิตออกมาได้น่าดูและแนบเนียนขึ้น ประเทศไทยเองก็มีออกมาหลายเรื่องและได้รับการต้อนรับมากโดยเฉพาะเด็กๆ ที่ขาดกันไม่ได้
4. Comedy ภาพยนตร์ตลก เบาสมอง เหมาะกับคนที่ต้องการดูเพื่อการพักผ่อน ไม่ต้องคิดอะไรมาก
5. Crime ภาพยนตร์อาชญากรรม แนวการแก้ไข ต่อสู้กับคดีต่างๆ ของตำรวจ
6. Documentary ภาพยนตร์แนวสารคดีที่ดูไปด้วย ได้สาระไปด้วย
7. Drama ภาพยนตร์ชีวิต ที่จะได้ความรู้สึกซึ้งเศร้า เคล้าน้ำตา ทำให้นึกถึงชีวิตคนจริงๆ บางเรื่องดูแล้วเครียด บางเรื่องก็เศร้ามากๆ แต่พอหนังจบก็โล่งหัว ถ้าเกิดยิ่งดูยิ่งเครียดก็อย่าดูมันเลยครับ
8. Erotic เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ ในประเทศไทยไม่มีเพราะทำออกมาก็ไม่ผ่านการเซ็นเซอร์
9. Family เป็นภาพยนตร์ที่คนทุกคนในครอบครัวดูได้ ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความผูกพัน ของคนในครอบครัว ส่วนใหญ่ก็จะแฝงแง่คิดเอาไว้และเดินเรื่องแบบเรียบง่าย เน้นความรักกันของคนในครอบครัว
10. Fantasy ภาพยนตร์ที่มีการผสมจินตนาการแบบที่เราๆ ไม่ค่อยเห็นในชีวิต จะเรียกว่า เหนือจริงก็ได้ เด็กๆ หลายคนชอบจนถึงขั้นติดเลย เช่น เกี่ยวพ่อมดแฮรี่ และอีกหลายเรื่อง
11. Film-Noir ภาพยนตร์ที่เน้นการใช้ภาพเป็นตัวสื่อเนื้อหา ดูง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับบุคคล ทีมีประสบการณ์มาก่อน ถ้าหากมีเวลาว่างๆ จริงๆและสมาธิดีๆ ก็ลองหามาชมดู ได้รสชาติอีกแบบที่น่าลอง
12. Musical ภาพยนตร์เพลง เช่น ชิคาโก ประเทศไทยยังไม่มีให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวสักเรื่อง แต่ก็ยากที่จะทำให้มีรายได้เพราะความนิยมของคนแนวนี้ไม่มาก
13. Mystery เป็นภาพยนตร์ที่ลึกลับ ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ดูไปลุ้นไป แต่สุดท้ายก็อาจจะได้คำตอบเดิมก็คือ ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร ทิ้งเป็นปริศนาให้เราต้องขบคิดต่อไป หรือบางเรื่องก็นำเสนอในมุมมองของผู้สร้างเพื่อให้ผู้ชมคล้อยตาม แต่จะเป็นจริงหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
14. Romance ภาพยนตร์แนวรักโรแมนติก เหมาะกับคู่หนุ่มสาวและผู้ที่กำลังมีความรักทั้งหลายหรือคนที่กำลังอยากจะ รักใคร ชมไว้เป็นแนวทางในการทำตนเมื่อมีคนรัก จะได้ความรู้สึกมากขึ้นหากเราเคยมีประสบการณ์และความรู้สึกเหมือนในภาพยนตร์ จึงไม่แปลกใจที่หลายคนร้องไห้กับหนัง แต่อีกหลายคนอาจจะมองว่ามันซึ้งตรงไหน ไม่ผิด
15. Sci-Fi ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาอ้างอิงวิทยาศาสตร์ แต่ทำออกมาให้น่าสนใจอาจจะผสมจินตนาการเข้าไปด้วย แต่หลายคนบอกว่าไม่ชอบเพราะดูไม่รู้เรื่อง ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะบางเรื่องก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานเป็นเดิมพันบ้าง แต่ถ้าหากชมบ่อยๆ ก็จะเริ่มรู้เรื่องและกลายเป็นคนชอบหนังประเภทนี้ก็ได้ หนังแนวนี้สามารถต่อจินตนาการให้เราได้ เผลอๆ คนที่ดูอาจจะคิดอะไรดีๆ ออกมาสร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้างได้ และแนวคิดของหนังแนวนี้ก็เป็นแรงกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้ได้แบบ ในหนัง
16. Thai-film ภาพยนตร์ไทยหลากหลายแบบ อาจจะอยู่ในแนวใดก็ได้ ที่แบ่งออกมาแบบนี้เราอาศัยการแบ่งแบบฝรั่งนะครับ ถ้าเรานำหนังไทยมาแบ่งก็จะมีออกมาแบบเดียวกันนี้
17. Thriller ภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวน ที่มีการผูกเรื่องเพื่อให้ผู้ชมลุ้นไปด้วยว่าผลสุดท้ายจะออกมาในแนวใด เหมาะกับผู้ที่ชอบการสืบ นักสืบน้อยทั้งหลาย มันมีเสน่ห์ตรงทำให้ผู้ชมต้องติดตามตลอดทั้งเรื่อง ดังนั้นหากเรื่องไหนทำให้เกิดปมช้า ก็ทำให้หนังน่าเบื่อ และตอนจบและแนวเรื่องต้องมีความแปลกใหม่ ไม่ใช่ดูไม่ทันถึง 10 นาทีก็เดาออกแบบนี้เจ๊งแน่ๆ
18. War หนังสงคราม ที่มีการอ้างอิงเหตุการณ์สงครามที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เน้นจุดๆ หนึ่งในสงครามนั้นๆ ก็อาจจะนำไปใช้สอนเด็กนักเรียนได้ แต่ก็อาจจะไม่เหมาะในบางเรื่อง เช่น ความรุนแรงหรือความป่าเถื่อนอะไรประมาณนี้ ผมสังเกตว่าถ้าคนที่ไม่ใช่คอหนังสงครามจริงๆ เขาอาจจะไม่อยากดูเลยด้วยซ้ำ แต่คนที่ชอบดูก็จัดได้ว่าคลั่งหนังสงครามไปเลย ส่วนที่เหลือก็เป็นการชอบดูเป็นช่วงๆ ระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
19. Western หนังคาวบอยตะวันตก ปัจจุบันอาจจะดูไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรเพราะความแปลกใหม่ในการนำเสนอหา ยากขึ้นและเสี่ยงมากที่จะทำออกมา
ในปัจจุบันมักจะมีการสร้างภาพยนตร์ออกมาโดยให้มีหลายแนวปะปนกันอยู่เพื่อ ความสมจริง แต่ถ้าจะพิจารณาว่าอยู่แนวใด ต้องอาศัยเนื้อหาส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เป็นหลัก

saxophone

แซกโซโฟน (อังกฤษsaxophone) เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องลมไม้ ใช้ลิ้นเดี่ยวเหมือนของคลาริเนต แม้ว่าตัวเครื่องมักจะทำด้วยโลหะแต่สุ้มเสียงก็กระเดียดมาทางเครื่องลมไม้ แซกโซโฟนจึงได้รับฉายาว่า "คลาริเนตทองเหลือง" (brass clarinet)[ต้องการอ้างอิง]
แบร์ลิออซได้กล่าวว่าเสียงของแซกโซโฟนคือการผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่าง ซอเชลโล ปี่คอร์อังแกลส์และปี่คลาริเนท แซกโซโฟนจะเล่นกระซิบกระซาบ อ่อนหวานนุ่มนวล หรือจะแผดให้แสบโสตประสาทก็ทำได้ จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงเดี่ยว
อดอล์ฟ แซกซ์ (Adolphe Sax) มีชื่อจริงว่า Antoine-Joseph Sax แต่คนทั่วไปเรียกเขาว่า Adolphe Sax เป็นชาวเบลเยียมเกิดที่เมืองดินานท์ (Dinant) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1814 บิดาชื่อ ชาร์ล โจเซฟ แซกซ์ (Charles Foseph Sax) เป็นนักดนตรีเป่าฟลุตและคลาริเนต นอกจากนี้แล้วบิดาของเขายังมีโรงงานประดิษฐ์เครื่องดนตรี โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองอยู่ที่เมืองดินานท์อีกด้วย ประมาณปี ค.ศ. 1815 บิดาเขาได้ย้ายโรงงานไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ อดอล์ฟ แซกซ์ ได้เรียนรู้และได้รับการถ่ายทอดวิชาต่างๆ จากบิดา ในขณะเดียวกัน อดอล์ฟ แซกซ์ ยังได้ศึกษาดนตรีที่สถาบันดนตรีแห่งกรุงบรัสเซลส์ โดยเรียนเป่าฟรุตและคลาริเนต
ในปี ค.ศ. 1830 อดอล์ฟ แซกซ์ ได้ประดิษฐ์ประดิษฐ์เครื่องดนตรีของเขาเป็นครั้งแรก โดยมีฟลุตและคลาริเนตซึ่งทำด้วยงาช้าง แสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ ในปี ค.ศ. 1838 เขาได้ลิขสิทธิ์ในการประดิษฐ์เบสคลาริเนต ระหว่างปี ค.ศ. 1840-1841 เขาได้ประดิษฐ์แซกโซโฟนและนำออกแสดงในงานนิทรรศการเครื่องดนตรีที่กรุงบรัสเซลส์ใน ค.ศ. 1841 แต่ขณะกรรมการไม่ได้มอบรางวัลให้แก่เขาโดยอ้างว่าอายุน้อย ในที่สุดเขาได้ย้ายไปตั้งร้านประดิษฐ์และซ้อมเครื่องดนตรีที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1842 ร้านของเขาได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรป โดยเฉพาะเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองในสมัยนั้น
เขาเสียชีวิตในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1894 ที่กรุงปารีสเมื่ออายุ 60 ปี
ในระยะต้นของต้นคริสต์ศตรรษที่ 20 บริษัทเฮนรี่ เซลเมอร์แห่งปารีสได้ซื้อร้านของอดอล์ฟ แซกซ์ ต่อของเขามาดำเนินการแทน และได้ผลิตแซกโซโฟนยี่ห้อ เวลเมอร์ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1920
ชนิดของแซกโซโฟน
ตระกูลแซกโซโฟนเป็นตระกูลใหญ่เช่นเดียวกับคลาริเนท แซกโซโฟนมีขนาดต่าง ๆ ถึง 7 ขนาดด้วยกัน แต่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิดด้วยกัน หลากหลายชนิดของแซกโซโฟน ได้กล่าวเกี่ยวกับชนิดของแซกโซโฟนไว้ว่าแซกโซโฟนในปัจจุบันประกอบด้วยแซกโซโฟนโซปราโน, แซกโซโฟนอัลโต้, แซกโซโฟนเทเนอร์และบาริโทนแซกโซโฟนในบรรดา 4 ชนิดที่กล่าวมานี้ แซกโซโฟนโซปราโนเป็นแซกโซโฟนที่มีเสียงความถี่เสียงสูงที่สุด ตามด้วยแซกโซโฟนโต้ แซกโซโฟนเทเนอร์และสุดท้ายที่ต่ำคือบาริโทนแซกโซโฟน
  1. โซปราโนแซกโซโฟน (Soprano Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาและมีความถี่สูงที่สุด เนื่องจากมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาจึงสามารถถือไว้ในมือได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้สายสะพายแซกโซโฟนก็ดี อย่างไรก็ตามแซกโซโฟนโซปราโนไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการหัดเล่นแซกโซโฟน เนื่องจากมีความยากในการเป่ามากกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และเทเนอร์ ในปัจจุบันแซกโซโฟนโซปราโนจะมีรูปทรงให้เลือก 2 แบบ คือแบบตรง และแบบโค้งก็จะมีลักษณะเหมือกับแซกโซโฟนอัลโต้แต่มีขนาดเล็กกว่า
  2. อัลโต้แซกโซโฟน (Alto Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากเป็นแซกโซโฟนที่เป่าง่ายกว่าโซปราแซกโซโฟนและมีน้ำหนักเบากว่าแซกโซโฟนเทเนอร์แซกโซโฟนอัลโต้สามารถเป่าได้ในดนตรีหลาย ๆ สไตล์ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คลาสสิก, ป็อป, แจ็ส แต่นักดนตรีคลาสสิกจะนิยมใช้แซกอัลโต้ในการเล่นมากกว่าการใช้แซกโซโฟนชนิดอื่น ๆ รวมถึงการเล่นดนตรีแบบแตรวง, คอนเสิร์ตหรือมาร์ชชิ่งแบรนด์ก็เช่นกัน แซกโซโฟนอัลโต้จึงเป็นแซกโซโฟนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
  3. เทเนอร์แซกโซโฟน (Tenor Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่ถูกใช้มากในการเล่นดนตรีแนวแจ็ส แต่ก็สามารถเห็นแซกโซโฟนเทเนอร์ได้ในการเล่นดนตรีแบบอื่น ๆ เช่นกันเสียงของแซกเทเนอร์จะมีลักษณะแบบนุ่ม ๆ อ้วน ๆ และต่ำกว่าแซกโซโฟนอัลโต้และแซกโซโฟนโซปราโน รองจากแซกโซโฟนอัลโต้แล้วแซกโซโฟนเทเนอร์ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่มือใหม่ควรจะใช้ในการเริ่มต้น
  4. บาริโทนแซกโซโฟน (Baritone Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดใหญ่และมีความถี่เสียงต่ำสุด และราคาแพงที่สุดในบรรดาแซกโซโฟน ดังนั้นบาริโทนแซกโซโฟนจึงไม่เหมาะแก่นักแซกโซโฟนมือใหม่ทั้งหลาย ความยาวของบาริโทนแซกโซโฟนจะอยู่ประมาณ 7 ฟุต
  5. เบสแซกโซโฟน (Bass Saxophone) เป็นแซกโซโฟนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาแซกโซโฟนทั้งหมด 

เทคนิคการถ่ายภาพการแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว

ภาพกีฬาและภาพเคลื่อนไหว

ภาพ © Chase Jarvis
ภาพ © Chase Jarvis
การถ่ายภาพการแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหวนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การแสดงความเคลื่อนไหว
ของวัตถุหลักเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะด้วยการหยุดภาพด้วยความไวชัตเตอร์สูง หรือการใช้เทคนิคที่
ทำให้การเคลื่อนไหวดูพร่ามัวด้วยการใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วย
ปรับปรุงภาพถ่ายการแข่งขันกีฬาและภาพวัตถุเคลื่อนไหวของคุณให้ดูสวยงามกว่าเดิม

การแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว: การซูมและการโฟกัสการเคลื่อนไหว

Footballer
เมื่อถ่ายโดยใช้ความไวชัตเตอร์สูง การเคลื่อนไหวของนักฟุตบอล
คนนี้จะถูกหยุดไว้ ในการถ่ายภาพนี้ กล้องอยู่ห่างจากตัวแบบ
20 เมตร และช่างภาพต้องใช้เลนส์เทเลโฟโต้ในการซูมภาพนักฟุตบอล
การเคลื่อนไหวของนักฟุตบอลคนนี้ถูกแสดงออกมาด้วยความพร่ามัวที่
ได้จากการถ่ายภาพด้วยความไวชัตเตอร์ต่ำ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า
"การแพนกล้อง" ซึ่งเราจะอธิบายต่อไปในหมวดนี้ อย่างไรก็ตาม
ในการติดตามและการโฟกัสนักฟุตบอลที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ
ช่างภาพจะต้องตั้งค่ากล้องให้เปิดใช้โหมดโฟกัสต่อเนื่อง "AF-C"
ช่างภาพกีฬาจะต้องอยู่ห่างจากผู้เข้าแข่งขันเพื่อป้องกันไม่ให้นักกีฬาเสียสมาธิ ระยะห่างระหว่างช่าง
ภาพและวัตถุหลักอาจมากกว่า 100 เมตร หากเป็นการแข่งขันกีฬาประเภทสนาม เช่น ฟุตบอลหรือรักบี้
ดังนั้น เพื่อให้ได้ภาพถ่ายนักกีฬาที่สวยงามที่สุด ช่างภาพจะต้องเตรียมเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสสูงอย่าง
น้อย 80 มม. ขึ้นไป
ในการโฟกัสภาพ โหมดที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพการแข่งขันกีฬาและวัตถุเคลื่อนไหวมากที่สุดคือ
โหมด "AF-C" (ออโตโฟกัสต่อเนื่อง) ในโหมดนี้กล้องจะโฟกัสจุดที่คุณเล็งเอาไว้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ คุณควรใช้โหมดนี้ร่วมกับโหมดโฟกัส "พื้นที่ออโตโฟกัสแบบไดนามิค" ที่สามารถติดตาม
วัตถุที่เคลื่อนไหวได้ดีกว่า

ภาพถ่ายการแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว: การหยุดความเคลื่อนไหว

ภาพนี้ถ่ายโดยใช้ความไวชัตเตอร์สูงมากที่ 1/1000 วินาที เพื่อให้กล้องสามารถจับภาพความเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้เราได้ภาพของเจ้าสุนัขแจ็ครัสเซลตัวเล็กที่กำลังกระโดดอยู่พอดีJack Russell terrier in mid-air
ในการหยุดความเคลื่อนไหวของนักระบำ
ใต้น้ำที่กำลังลอยตัวอย่างรวดเร็วหลังจาก
ถูกโยนโดยเพื่อนร่วมทีม ต้องใช้ความไว
ชัตเตอร์สูงเป็นพิเศษที่ 1/2500 วินาที ช่างภาพ
ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แฟลช ดังนั้น จึงต้องตั้ง
ค่าความไวแสง (ISO) ไว้ที่ ISO 4000 เพื่อให้
กล้องสามารถใช้ความไวชัตเตอร์สูงได้ตามที่
ช่างภาพต้องการ
Synchronized swimmer fast flight throught the air
เพราะตัวแบบไม่สามารถควบคุมสีหน้าท่าทางของตัวเองขณะที่กำลังเคลื่อนไหวได้ ดังนั้น ภาพของ
นักกีฬาหรือวัตถุที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วที่ถูก "หยุด" เอาไว้ มักจะมีสีหน้าหรือท่าทางที่น่าสนใจจนถึง
ขนาดที่สร้างความแปลกใจให้แก่ตัวแบบเอง ในการถ่ายภาพชนิดนี้ คุณจำเป็นต้องตั้งค่ากล้องให้มี
ความไวชัตเตอร์สูง

ภาพถ่ายการแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว: การใช้โหมดถ่ายภาพต่อเนื่องเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีที่สุด

Australian Youth Olympian Diver Hannah Thek
เทคนิคการกระโดดน้ำของนักกระโดดน้ำโอลิมปิคเยาวชน ฮันนา เธ็ค ถูกหยุดและบันทึกไว้ได้อย่าง
คมชัดด้วยความไวชัตเตอร์สูงแบบต่อเนื่อง โดยช่างภาพได้ถ่ายภาพนี้ห้าครั้งด้วยกัน
การใช้โหมดถ่ายภาพต่อเนื่องเพื่อถ่ายภาพหลายๆ ภาพต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว จะทำให้คุณมี
ภาพถ่ายหลายใบและสามารถเลือกเอาภาพที่คุณเห็นว่าดีที่สุดมาใช้ได้

ภาพถ่ายการแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว: การใช้ออโตโฟกัสต่อเนื่องและการโฟกัสนำเฉพาะจุด

Motorbike racer
ในการถ่ายภาพจักรยานที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนี้ ช่างภาพจะต้องทำการโฟกัสนำด้วยตนเอง
ไปในสนามแข่งขัน หลังโค้งที่คาดว่าจักรยานจะเคลื่อนที่ไปถึง จากนั้นจึงถ่ายภาพทันทีที่จักรยาน
เคลื่อนผ่านไป
การโฟกัสภาพการแข่งขันกีฬาและวัตถุที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเป็นเรื่องยาก แต่ดังที่เรากล่าวไว้
ก่อนหน้านี้ คุณสามารถเปิดใช้โหมดออโตโฟกัสต่อเนื่องและติดตามวัตถุได้ วิธีนี้ใช้ได้ดีหากคุณ
ต้องเปลี่ยนตำแหน่งถ่ายภาพอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม คุณยังต้องพึ่งโชคด้วย เพราะในการโฟกัส
อัตโนมัติ กล้องอาจไม่สามารถโฟกัสวัตถุที่คุณต้องการถ่ายได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี
ที่มีวัตถุจำนวนมากอยู่ในกรอบภาพในระยะห่างที่ต่างกัน เช่น การถ่ายภาพนักฟุตบอลจำนวนมาก
ในสนามแข่งขัน เป็นต้น ซึ่งระบบออโตโฟกัสอาจสับสนได้
วิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณสามารถโฟกัสจุดใดจุดหนึ่งได้อย่างคมชัดก็คือการปรับโฟกัสนำด้วยตนเอง
ไปยังตำแหน่งที่คุณคาดว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวที่คุณต้องการจะถ่ายภาพ ตัวอย่างเช่น บริเวณ
หน้าประตูในสนามฟุตบอล หรือโค้งในสนามแข่งรถ จากนั้นรอให้วัตถุเคลื่อนที่เข้ามาและทำการ
ถ่ายภาพทันที่วัตถุปรากฏขึ้นในบริเวณจุดที่คุณโฟกัสนำเอาไว้

การแข่งขันกีฬาและการเคลื่อนไหว: ความไวชัตเตอร์ต่ำและการแพนกล้อง

ในรูปนี้ ช่างภาพได้ติดตามรถยนต์ที่กำลัง
เคลื่อนที่จากซ้ายไปขวาโดยใช้ความไว
ชัตเตอร์ต่ำที่ 1/40 วินาที ภาพที่ได้จึงมีความ
คมชัด ในขณะที่ภาพการเคลื่อนไหวรถไปด้าน
ข้างดูโดดเด่นจากการทำให้พื้นหลังดูพร่ามัว
Drifting car
การถ่ายภาพภาพบุคคลที่กำลังเคลื่อนไหวโดย
ใช้วิธีแพนกล้องนั้นทำได้ยากสักหน่อย เพราะ
เมื่อมนุษย์เคลื่อนไหว ร่างกายทุกส่วนจะขยับ
ตามไปด้วย แต่หากคุณสามารถทำได้ ผลลัพธ์
ที่ได้จะน่าพึงพอใจทีเดียว กรณีนี้ ในระหว่าง
การแพนกล้อง ช่างภาพจะต้องจัดการให้กล้อง
นิ่งพอโดยการเปิดรับแสงที่ 1/40 วินาที เพื่อให้
ใบหน้าและลำตัวของนักฟุตบอลมีความคมชัด
ในขณะที่แขนขา ลูกบอล และพื้นหลังจะพร่า
มัว เพื่อแสดงถึงการเคลื่อนไหวและความเร็ว
Footballer
ยานพาหนะเป็นวัตถุที่เหมาะกับการใช้เทคนิค
การแพนกล้องมากที่สุดเพราะพวกมันแล่นบน
ทางราบในทิศทางที่สามารถคาดเดาได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม การมองหาวัตถุที่น่าสนใจ
กลับเป็นความท้าทายของช่างภาพซึ่งต้อง
อาศัยการวางแผนที่ดีความอดทนและโชคอีก
เล็กน้อย ภาพนี้ถ่ายโดยใช้ความไวชัตเตอร์
1/30 วินาที ช่างภาพต้องยืนบนถนนในเมือง
โฮจิมินห์ถึง 15 นาทีและทำการแพนกล้องถึง
40 ครั้ง กว่าจะเจอวัตถุที่น่าสนใจ
Street of Ho Chi Minh
การแพนกล้องแบบใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "การแพนกล้อง" นั้น เป็นวิธีที่ได้รับ
ความนิยมในการถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ให้ดูเกินจริง ภาพถ่ายทั่วไปที่ได้จากการใช้วิธีแพนกล้อง
สังเกตได้จากวัตถุที่คมชัด ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ดูพร่ามัว ซึ่งเป็นการแสดงความเคลื่อนไหวและ
เน้นการเคลื่อนไหวของวัตถุ ในการถ่ายภาพแบบนี้ ช่างภาพจะต้องตั้งค่าความไวชัตเตอร์ให้ต่ำ (โดย
ทั่วไปจะอยู่ที่ 1/20 - 1/60 วินาที) และติดตามความเคลื่อนไหวของวัตถุโดยเล็งเลนส์กล้องไปยังวัตถุที่
กำลังเคลื่อนที่ ภาพที่ได้จะมีองค์ประกอบบางส่วนที่คมชัด ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่กำลัง
เคลื่อนไหวระหว่างการแพนกล้องช้าๆ นั้น จะดูพร่ามัว ให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหว

เทคนิคการถ่ายภาพบุคคล

ภาพบุคคล

ภาพ © Chase Jarvis
ภาพ © Chase Jarvis
ส่วนใหญ่ เป้าหมายหลักในการถ่ายภาพบุคคลคือ การดึงลักษณะเด่นของตัวแบบออกมา
ในขณะที่วัตถุประสงค์รองคือการสร้างภาพบุคคลที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชมภาพ ดังนั้น
ในการถ่ายภาพบุคคลให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์เหล่านี้ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้
ภาพถ่ายบุคคลของคุณดูสวยงามขึ้น

ภาพบุคคล: แนะนำการถ่ายภาพบุคคล “แบบดั้งเดิม”

Traditional Portrait Examples
ตัวอย่างภาพถ่ายบุคคลแบบดั้งเดิมที่ไม่ดีในตัวอย่างนี้ พื้นหลังอยู่ใกล้และเกาะกลุ่มกันเกินไป มีบางส่วน
กลืนไปกับผมของตัวแบบ ทำให้ภาพถ่ายดูไม่สวยงาม
ตัวอย่างภาพถ่ายบุคคลแบบดั้งเดิมที่ดีในตัวอย่างนี้ วัตถุบนพื้นหลังอยู่ห่างออกไปในระยะพอเหมาะ
โครงร่างของตัวแบบดูโดดเด่น เพราะแสงไฟที่ต้นไม้หลังตัวแบบที่
ช่วยสร้างคอนทราสต์ในภาพ
ในภาพถ่ายบุคคลแบบดั้งเดิม วัตถุหลักจะเป็นคน ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ในกรอบภาพอย่างพื้นหลังหรือพื้นหน้า จะต้องไม่อยู่ในโฟกัสของภาพ เพื่อให้ความสนใจของผู้ชมภาพมุ่งมายังวัตถุหลักเท่านั้น ในการสร้างภาพบุคคลที่ดีเช่นนี้ คุณจะต้องสร้างระยะชัดลึกที่ตื้นโดยใช้เคล็ดลับง่ายๆ ต่อไปนี้
  • ตั้งค่ารูรับแสงกว้างให้ที่สุด (ค่ารูรับแสงน้อย) เท่าที่เลนส์ของคุณสามารถทำได้
  • ให้พื้นหลังอยู่ห่างจากวัตถุหลักมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
  • ควรซูมเลนส์กล้องเท่ากับค่ากลางของระยะซูมขึ้นไป
การเลือกพื้นหลังก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเลือกพื้นหลังที่ดีในการ
ถ่ายภาพบุคคลแบบดั้งเดิม
  • พยายามหาพื้นหลังที่เรียบที่สุด
  • สีและเฉดสีของพื้นหลังควรแตกต่างจากสีผมและสีเสื้อผ้าของตัวแบบมากที่สุด

ภาพบุคคล: ดึงลักษณะเด่นของตัวแบบออกมา

ถึงแม้ว่าช่างภาพจะร้องขอให้หญิงสาวคนนี้จัด
ท่าทางเพื่อถ่ายภาพ แต่นิสัยขี้เล่นของเธอ
แสดงออกมาจากการที่เธอตัดสินใจก้มตัวลง
และใช้มือแตะบนหัวเข่าอย่างกะทันหัน
Portrait of girl posing
สีหน้าผ่อนคลายของเด็กชายหลังจากที่แม่ติด
พลาสเตอร์ลงบนแผลที่หน้าผากถูกจับภาพไว้
ได้ทันทีที่หนูน้อยหันหน้ามาหาช่างภาพ
Boy with sticky bandage on forehead
ถึงแม้ว่าไม่มีตัวแบบคนใดในภาพมองกล้อง
แต่ภาพถ่ายบุคคลภาพนี้มีความน่าสนใจ
เนื่องจากสีหน้าของตัวแบบดูเป็นธรรมชาติและ
แสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังสนุกกับการ
ทำงานของตน
Italian Deli
ภาพถ่ายบุคคลอาจเป็นภาพถ่ายที่มีลักษณะเป็นทางการซึ่งช่างภาพจะเป็นผู้บอกให้ตัวแบบจัดท่าทาง
หรืออาจเป็นภาพแอบถ่ายซึ่งจับภาพของตัวแบบโดยที่ตัวแบบไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ
บุคคลแบบใด สิ่งสำคัญก็คือการดึงเอาลักษณะเด่นของตัวแบบออกมาให้มากที่สุด หากคุณไม่เคยรู้จัก
ตัวแบบมาก่อน อาจพูดคุยกับตัวแบบในเรื่องทั่วๆ ไปสักสองสามนาที วิธีนี้ยังช่วยให้ตัวแบบของคุณ
รู้สึกผ่อนคลายขึ้นด้วย

ภาพบุคคล: ใช้แสงอย่างสร้างสรรค์

ภาพถ่ายบุคคลภาพนี้ถ่ายในบริเวณที่มีร่มเงาและมีแสงส่องมาจากด้านขวามือ ศีรษะของตัวแบบที่เอียงเล็กน้อยและแสงที่ส่องมาจากทิศทางเดียวช่วยเพิ่มความลึกให้แก่ภาพถ่ายPortrait taken in a shaded area
ภาพนักปั่นจักรยานคนนี้ถ่ายตอนกลางคืนโดย
ใช้เฉพาะแฟลชภายนอกที่วางอยู่ด้านหน้าทาง
ซ้ายมือเท่านั้นในสร้างแสงภาพถ่ายที่ดูสวยงาม
Cyclist at night
การใช้แสงอย่างสร้างสรรค์ โดยเน้นความโดดเด่นไปที่ลักษณะของตัวแบบ สามารถทำให้ภาพถ่ายบุคคลดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ดังภาพถ่ายเหล่านี้

ภาพบุคคล: ภาพถ่ายบุคคลแบบมีบริบทแวดล้อม

2 Examples of contextual portrait
เมื่อดูจากองค์ประกอบเสริมในภาพ เช่น ดินสอ โต๊ะ และเพื่อนๆ
ในห้อง ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ว่าเด็กชายชาวพม่าคนนี้เป็น
นักเรียน
ภาพนี้คือภาพถ่ายของทหารจีน และแสดงให้เห็นว่าเขาคือหนึ่งใน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับเลือกมาเป็นพิเศษเ
พื่อประจำการที่อนุสาวรีย์วีรชน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง
ในบางครั้ง การซูมออกเล็กน้อยเพื่อเก็บองค์ประกอบบนพื้นหลังให้อยู่ในโฟกัสของกล้องอาจช่วยบอก
เรื่องราวเกี่ยวกับตัวแบบ สร้างความน่าสนใจและความน่าดึงดูดใจให้กับภาพถ่ายได้มากขึ้นดังตัวอย่าง
ที่แสดงไว้ข้างต้น

ภาพบุคคล: การถ่ายภาพเด็ก

นี่คือภาพถ่ายทั่วๆ ไปที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
ถ่ายได้ เพราะไม่ทราบว่าเพียงแค่การก้มลง
ถ่ายภาพในระดับสายตาของเด็ก พวกเขาก็จะ
ได้ภาพที่สวยงามกว่านี้มาก
Bland-looking photo example
ในทางตรงกันข้าม ภาพที่ถ่ายจากความสูงระดับสายตาของเด็กจะแสดงให้เห็นชีวิตจากมุมมองของพวกเขาเอง และสามารถจับภาพสีหน้าทั้งหมดของตัวแบบได้ดีขึ้นPhoto taken at eye-level
ถึงแม้ว่าเราจะแนะนำให้คุณตั้งค่าความไว
ชัตเตอร์สูงเพื่อ "หยุด" ความเคลื่อนไหวของ
เด็ก ๆ ที่มักจะไม่อยู่นิ่ง แต่การใช้ความไว
ชัตเตอร์ต่ำในขณะที่ติดตามเด็กที่กำลัง
เคลื่อนไหว (เทคนิคนี้เรียกว่า "การแพนกล้อง"
ซึ่งจะกล่าวถึงในหมวดการถ่ายภาพการ
แข่งขันกีฬา) จะทำให้ได้ภาพถ่ายที่มีความน่า
สนใจ
Photo taken using "panning" technique
โดยทั่วไปแล้ว ในการถ่ายภาพเด็ก ช่างภาพจะต้องรับมือกับความท้าทายมากมาย เด็กๆ มักจะไม่
อยู่นิ่ง ทำให้ช่างภาพจัดวางองค์ประกอบของภาพได้ยาก เด็กบางคนยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าวิธี
การจัดท่าทางที่เป็นธรรมชาตินั้นทำอย่างไร ในขณะที่บางคนก็อายเมื่ออยู่หน้ากล้อง
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่คุณสามารถนำไปใช้ในการถ่ายภาพเด็กๆ ได้
  • ถ่ายภาพเด็กๆ จากระดับสายตาของพวกเขา

    ผู้ใหญ่หลายคนมักจะถ่ายภาพจากระดับความสูงที่ตัวเองรู้สึกว่าสบายเท่านั้น ภาพที่ได้จึงไม่
    สวยงามไม่ว่าเด็กจะเงยหน้าขึ้นหรือหันหน้าออกจากกล้องก็ตาม ภาพถ่ายเด็กที่ดีจะต้องถ่าย
    ณ ความสูงระดับเดียวกับระดับสายตาของพวกเขา คุณจึงจะสามารถเก็บภาพสีหน้าของเด็กๆ
    ได้ทั้งหมด
  • ใช้ความไวชัตเตอร์สูง

    สำหรับเด็กๆ ที่ไม่อยู่นิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กๆ ที่กำลังเล่น ให้ลองเพิ่มความไวชัตเตอร์ โดย
    ปรับรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้น (ค่า F-stop น้อย) หรือเพิ่มความไวแสง (ISO) อย่างใดอย่างหนึ่ง วิธีนี้
    จะทำให้ภาพถ่ายที่ได้คมชัดไม่พร่ามัวจากการเคลื่อนไหวของเด็กๆ
  • อย่าพยายามจัดท่าทางของพวกเขา

    พยายามอย่าจัดท่าทางของเด็กหรือปล่อยให้พวกเขาสังเกตเห็นคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก
    แต่ให้ใช้ของเล่นหรือขนมที่พวกชอบ หรือเปิดเสียงที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กๆ
    แทน เทคนิคที่ใช้ได้ผลดีซึ่งช่างภาพมืออาชีพหลายคนนำมาใช้ในการถ่ายภาพเด็กเล็กคือ
    แขวนสิ่งของที่มีสีสันสดใสไว้ด้านบนของเลนส์เพื่อดึงดูดสายตาของพวกเขามาที่เลนส์กล้อง
    โดยตรง การใช้วิธีนี้มักจะทำให้เด็กๆ แสดงสีหน้าตามธรรมชาติออกมา ภาพถ่ายจึงดูมีชีวิต
    ชีวา ดูดีกว่าเดิม และดึงลักษณะเด่นของเด็กๆ ออกมาได้

เทคนิคการถ่ายภาพทิวทัศน์


ทิวทัศน์

ภาพ @ Chase Jarvis
ภาพ © Chase Jarvis
การถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ดีนั้นเป็นเรื่องสนุกและถ่ายได้ง่ายกว่าการภาพถ่ายประเภทอื่นๆ
เมื่อพิจารณาในแง่ของเทคนิค อย่างไรก็ตาม หากคุณนำเคล็ดลับของเราไปใช้ ภาพถ่าย
ทิวทัศน์ที่ "ดี" ของคุณจะกลายเป็นภาพถ่ายที่สวยงามจนน่าตะลึง

ทิวทัศน์: ใช้รูรับแสงแคบและเลนส์มุมกว้าง วางขาตั้งกล้องให้ได้ระดับเสมอกัน

Cityscape of Melbourne, Australia
นี่คือภาพภูมิทัศน์ของเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งถ่ายโดยตั้งค่ารูรับแสงที่ F/8.0
เพื่อให้ทั้งอาคารที่อยู่ใกล้และไกลดูคมชัด
ปกติแล้วในภาพทิวทัศน์ทั่วไป คุณต้องการให้องค์ประกอบทั้งหมดในภาพ ทั้งใกล้และไกล มีความคมชัดพอสมควร ดังนั้น คุณควรใช้รูรับแสงเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ค่ารูรับแสงมาก) นอกจากนี้
คุณยังอาจต้องการเพิ่มมุมมองภาพเพื่อให้กล้องสามารถถ่ายภาพทิวทัศน์ได้มากที่สุด ดังนั้น
ให้เลือกใช้เลนส์มุมกว้างที่มีทางยาวโฟกัสสั้นจะได้ภาพถ่ายที่ดีกว่า
สุดท้าย ให้คำนึงถึงความสมดุลของแสง หากคุณใช้รูรับแสงแคบเพื่อเพิ่มระยะชัดลึกของภาพ
คุณต้องลดความไวชัตเตอร์ลงเพื่อชดเชย ดังนั้น เราแนะนำให้คุณใช้ขาตั้งกล้องเพื่อป้องกันการ
พร่ามัวที่เกิดจากการสั่นไหวของตัวกล้องเมื่อคุณเปิดรับแสงเป็นเวลานาน

ทิวทัศน์: สร้างชีวิตให้แก่ภาพถ่ายทิวทัศน์ของคุณด้วยฟิลเตอร์โพลาไรซ์

With and Without Polarizer Filters
ฟิลเตอร์โพลาไรซ์คือฟิลเตอร์แบบพิเศษที่ทำให้สีต่างๆ ในภาพถ่ายดูอิ่มตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทนสี
ฟ้าและเขียว นอกจากนี้ ยังช่วยลดแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย การใช้ฟิลเตอร์โพลาไรซ์ทำให้
ภาพทิวทัศน์ที่ดูไม่น่าสนใจมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
  • ช่วงเวลาที่เหมาะกับการใช้ฟิลเตอร์โพลาไรซ์ที่สุดคือตอนที่ดวงอาทิตย์อยู่ด้านขวาหรือด้านซ้ายของสิ่งที่จะถ่ายพอดี
  • ฟิลเตอร์โพลาไรซ์จะมาพร้อมกับวงแหวนสำหรับหมุน ให้ช่างภาพสามารถควบคุมปริมาณความ
    อิ่มตัวของสีได้

ทิวทัศน์: ใช้ฟิลเตอร์ลดแสง (ND) เพื่อถ่ายภาพเคลื่อนไหวในตอนกลางวันให้ดูพร่ามัวอย่างมีศิลปะ

 McKenzie Falls in the Grampian Mountains of Victoria,  Australia
ภาพของน้ำตกแม็คเคนซีในเทือกเขาแกรมเปียน เมืองวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย
ภาพนี้ ถ่ายในตอนกลางวันขณะที่มีแสงแดดสว่างจ้า โดยใช้ฟิลเตอร์ลดแสง (ND) ช่วยให้ช่างภาพ
สามารถใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำที่ 1/6 วินาที น้ำตกจึงกลายเป็นสายน้ำที่ดูนุ่มนวล
ในบางครั้ง คุณอาจจะอยากถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนที่ท่ามกลางแสงแดดจ้าให้ออกมาพร่ามัว (เช่นภาพ
ถ่ายของสายน้ำตกที่ดูนุ่มนวล) แต่คุณได้ปรับขนาดรูรับแสงในเลนส์ของคุณจนแคบที่สุดแล้ว (ค่ารูรับ
แสงสูงสุด) หรือต้องการใช้รูรับแสงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ไม่ว่าจะเลือกทางเลือกใดข้างต้น ภาพที่ได้
จะเป็นภาพที่เปิดรับแสงมากเกินไปเนื่องจากแสงนั้นสว่างจ้าเกินกว่าที่จะใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำ ใน
กรณีเช่นนี้ คุณสามารถใช้ฟิลเตอร์แบบพิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "Neutral Density Filter" หรือ
ฟิลเตอร์ลดแสง (ND)
  • ฟิลเตอร์ลดแสง (ND) เปรียบเสมือนแว่นกันแดดของกล้องและทำหน้าที่ลดปริมาณแสงที่เข้าสู่เลนส์
  • การใช้ฟิลเตอร์ลดแสง (ND) จะช่วยให้ช่างภาพสามารถตั้งค่ารูรับแสงให้กว้างขึ้น หรือใช้ความ
    ไวชัตเตอร์ต่ำซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยกว่า
  • ระดับฟิลเตอร์ลดแสง (ND) จะอิงตามปริมาณของแสงที่ลดลงไป โดยจะเริ่มจาก ND ND2, ND4, ND8, และเพิ่มขึ้นครั้งละสองเท่าจนถึง ND8192
  • เราสามารถใช้ฟิลเตอร์ลดแสง (ND) กับวัตถุใดๆ ก็ได้เราต้องการถ่ายภาพการเคลื่อนไหว
    ให้ออกมาดูพร่ามัวอย่างมีศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำ คนเดินถนน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหว
    บนท้องถนน

ทิวทัศน์: กลับมาถ่ายภาพเดิมในช่วงเวลาที่ต่างออกไป เพื่อให้ได้ภาพทิวทัศน์ที่คุณชื่นชอบ

The Eiffel Tower of Paris, France. Day and Night
หอไอเฟลในกรุงปารีส ฝรั่งเศส ดูมีชีวิตชีวาในตอนกลางคืนเพราะแสงไฟตระการตา
ภาพถ่ายทางขวามือถ่ายในช่วงโพล้เพล้ของวันขณะที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม
ทำให้ภาพถ่ายสัญลักษณ์ของเมืองดูน่าหลงใหลกว่าเดิม
ภาพทิวทัศน์ที่เราถ่ายในแต่ละช่วงเวลาของวันอาจดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น ลองเดินทางไปยังสถานที่ที่คุณโปรดปรานในเวลาที่ต่างๆ กันเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดีที่สุด

ทิวทัศน์: ปกติแล้ว การวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพมักจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

Flower farm in Sapporo
ภาพนี้คือภาพถ่ายของสวนดอกไม้ในเมืองซัปโปโรของประเทศญี่ปุ่น
ถ่ายโดยใช้โหมดวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพในบริเวณกลางทุ่งดอกไม้
ทำให้ภาพที่ได้ดูเหมือนเปิดรับแสงมากเกินไปนิดหน่อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก้อนเมฆและหลังคาของโรงเรือน
ภาพนี้ถ่ายโดยใช้การวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพซึ่งทำให้ค่าแสง
ของกัอนเมฆในพื้นหลังและดอกไม้ที่อยู่ในส่วนพื้นหน้าของภาพ
ได้รับแสงอย่างสม่ำเสมอกัน
ดังที่คุณได้เรียนรู้ในบทเรียนเรื่อง "การวัดแสง" โดยทั่วไปแล้ว การวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพ
เหมาะกับการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สุด เนื่องจากกล้องจะคำนวณหาค่าแสงที่ดีที่สุดสำหรับพื้นที่ทุกส่วน
ในกรอบภาพ

ทิวทัศน์: การจัดวางเส้นขอบฟ้าและกฎสามส่วน


ภาพทิวทัศน์ของเมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย
ภาพนี้ดูไม่น่าสนใจเนื่องจากขอบฟ้าอยู่กลางภาพพอดี
Cityscape of Sydney Australia
หากเรานำกฎสามส่วนมาใช้ เราจะสามารถ
จัดองค์ประกอบภาพให้ขอบฟ้าอยู่ในบนเส้น
1/3 ได้ ในขณะที่น้ำในอ่าวซิดนีย์จะดึงความ
สนใจของผู้ชมภาพมายังทิวทัศน์ของเมือง
ทำให้ภาพทิวทัศน์ที่ได้ดูสวยงามกว่าเดิมมาก
Cityscape of Sydney Australia
นอกจากนี้ เรายังสามารถวางเส้นขอบฟ้า
ไว้ใต้เส้น 1/3 เพื่อให้ท้องฟ้ากว้างเป็น
องค์ประกอบที่ทำให้เส้นขอบฟ้าของเมืองดู
โดดเด่นและดึงดูดความสนใจของผู้ชมภาพมาที่เส้นขอบฟ้าของเมืองจำไว้ว่าเราไม่จำเป็น
ต้องจัดวางเส้นขอบฟ้าให้อยู่บนเส้น 1/3 พอดี
หลักสำคัญก็คือสร้างความอสมมาตรที่ดึงดูดสายตาอย่างง่ายๆ
Cityscape of Sydney Australia
ช่างภาพหลายคนคุ้นเคยกับหลักการถ่ายภาพที่เรียกว่า "กฎสามส่วน" ดีอยู่แล้ว การนำหลักการนี้มา
ใช้จะช่วยให้ช่างภาพสามารถจัดวางวัตถุในกรอบภาพได้อย่างเหมาะสม ช่วยให้ภาพที่ออกมาดูน่า
สนใจและดึงดูดสายตามากขึ้นจากการสร้างความอสมมาตรในภาพถ่าย

กฎสามส่วน

  • แบ่งภาพถ่ายออกเป็นเก้าส่วนเท่าๆ กัน
  • วางหรือกำหนดให้เส้นขอบฟ้าในภาพทิวทัศน์และวัตถุในภาพถ่ายประเภทอื่นๆ อยู่ในแนวเส้นหรือ
    จุดตัด
  • กล้องหลายรุ่นจะมีเส้นตารางกฎสามส่วนในช่องมองภาพอยู่แล้ว ช่วยให้ช่างภาพสามารถจัดองค์
    ประกอบภาพถ่ายและจัดเส้นขอบฟ้าในแนวตรงได้ง่ายขึ้น
  • คุณไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม "กฎ" นี้อย่างเคร่งครัด หลักสำคัญก็คือสร้างความอสมมาตรที่ดูน่า
    สนใจ

ทิวทัศน์: ใช้เส้นนำสายตาเพื่อ “นำทาง” ผู้ชมภาพ


คุณสังเกตไหมว่าตาของคุณจะมองตามแนวกำแพงเมืองจีน โดยเริ่มจากบันไดที่อยู่ด้านล่างซ้ายในส่วนพื้นหน้าของภาพ ไปยังซ้ายมือของภาพ จากนั้นจึงมองไล่ไปจนถึงกำแพงที่อยู่ในฉากหลังของภาพถ่ายโดยที่คุณไม่รู้ตัว?Great Wall of China
ในภาพนี้ก็เช่นกัน นี่คือภาพถ่ายชายฝั่งทะเล
ของเกาะพีพีในประเทศไทย คุณสังเกตไหมว่า
ตาของคุณของมองตาม "เส้น" โค้งที่เกิดจาก
แนวของเรือประมงโดยอัตโนมัติ?
Phi Phi Island in Thailand
"เส้นนำสายตา" ในภาพถ่ายคือเส้นหรือองค์ประกอบที่นำสายตา (นำทาง) ผู้ชมภาพไปยัง
องค์ประกอบอื่นๆ ของภาพถ่าย จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง และสร้างความน่าสนใจให้แก่ภาพ
โดยทำให้เกิดความรู้สึกว่าภาพนั้นมีความลึก
  • เส้นนำสายตาอาจเป็นเส้นตรงหรือโค้งก็ได้ เช่น แนวชายฝั่ง ถนน หรือกำแพง
  • เส้นนำสายตาอาจเป็นเส้นที่มองไม่เห็นซึ่งเกิดจากจัดวางองค์ประกอบของภาพถ่ายที่สามารถนำทางสายตาของผู้ชมภาพได้

ทิวทัศน์: พยายามใส่องค์ประกอบบนพื้นหน้าของภาพถ่าย


ภาพถ่ายของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
สองภาพนี้ ถ่ายจากกระเช้าลอยฟ้าลอนดอน
อายส์ ดังที่เห็นในภาพถ่ายด้านล่าง การใส่วัตถุ
ที่เกี่ยวข้องไปบนพื้นหน้าของภาพ ซึ่งในกรณี
นี้คือกระเช้าลอยฟ้า สามารถสร้างชีวิตชีวาให้
แก่ภาพถ่ายทิวทัศน์ที่ดูไม่น่าสนใจ และดึงดูด
ความสนใจของผู้ชมภาพมาที่ทิวทัศน์ได้
London. Shot from the London Eye ferris wheel
บางครั้ง การใส่องค์ประกอบไปบนพื้นหน้าของภาพถ่ายทิวทัศน์ อาจทำให้ภาพถ่ายดูสวยงามขึ้น
ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ทิวทัศน์: เคล็ดลับการถ่ายภาพพาโนรามา

Panoramic Photos of Seoul and Manhattan
1: กรุงโซลภาพถ่ายาโนรามาของกรุงโซลของประเทศเกาหลี ภาพนี้สร้างขึ้นจาก
ภาพถ่ายสามภาพที่ถ่ายโดยกล้อง DSLR D70 ของ Nikon และนำมา
ต่อกันโดยใช้โปรแกรม Adobe Photoshop
2: เมืองแมนฮัตตันภาพพาโนรามาของเส้นขอบฟ้าเมืองแมนฮัตตันสร้างขึ้นจากภาพถ่าย
สามภาพที่ถ่ายโดยใช้โหมด "ช่วยถ่ายภาพพาโนรามา" ของ Nikon
ซึ่งพบได้ในกล้องคอมแพคของ Nikon เกือบทุกรุ่น ช่วยให้ช่างภาพ
สามารถจัดองค์ประกอบภาพและนำภาพถ่ายมาต่อกันได้โดยอัตโนมัติ
ภาพถ่ายทิวทัศน์แบบพาโนรามาทั่วไปจะประกอบขึ้นจากภาพถ่ายหลายภาพ ในการสร้างภาพถ่าย
ชนิดนี้ คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์ปรับแต่งภาพอย่าง Adobe Photoshop ทำการต่อภาพถ่ายที่ถ่าย
เหลื่อมซ้อนกันเข้าด้วยกันได้ อย่างไรก็ตาม กล้องคอมแพคชั้นสูงบางรุ่นสามารถสร้างภาพ
พาโนรามาด้วยการต่อภาพถ่ายเข้าด้วยกันแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดข้างต้น หากต้องการ
ภาพถ่ายที่สวยงามที่สุด คุณควรปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ในการถ่ายภาพสำหรับสร้างภาพแบบพา
โนรามา
  • ถ่ายภาพทั้งหมดที่จะนำมาสร้างภาพพาโนรามาจากตำแหน่งเดียวกันโดยใช้ความสูงและ
    พื้นระดับเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้ภาพถ่ายที่ได้เบี้ยว หากทำได้ ให้ใช้ขาตั้งกล้องถ่ายภาพ
    พาโนรามา วิธีนี้จะช่วยให้คุณถ่ายภาพโดยใช้ความสูงระดับเดียวกันทุกภาพ
  • ภาพถ่ายแต่ละภาพจะต้องมีส่วนรายละเอียดที่เหลื่อมซ้อนกันกับภาพถ่ายก่อนหน้ามากพอ
    สมควร เพื่อให้ซอฟต์แวร์มีรายละเอียดภาพมากพอในการจำแนกจุดที่จะเชื่อมต่อภาพถ่าย
    เข้าด้วยกัน
  • ขณะถ่ายภาพเพื่อสร้างภาพพาโนรามา ห้ามเปลี่ยนค่ารูรับแสงหรือทางยาวโฟกัสของเลนส์
    (เช่น ซูมเข้าหรือซูมออก)